วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

test drive Lamborghini

Test Drive: Lamborghini Gallardo
Lamborghini


สวัสดีครับผม ก็กลับมาอีกครั้งสำหรับวันนี้ผมก็มีอะไรมาฝากเหมือนเช่นเคยครับ วันนี้พาไปเล่นของสูงครับ แต่ว่าเตี้ยติดดินเลยครับ เอาล่ะไม่พูดมากแล้วเดี๋ยวจะพากันงงไปกว่านี้ เอาเป็นว่าเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าไอ้เจ้า Lamborghini Gallardo คันนี้มันมีดีอะไรบ้าง

แรกเริ่มเดิมที่เนี่ยเจ้า Gallardo มันถูกออกแบบโดย Italdesign-Giugiaro ซึ่งออกแบบเจ้า Baby Lambo ตัวแรกไว้ในนามว่า Cala แต่บริษัท Lamborghini ดันเจ๊งไปก่อน โครงการนี้เลยเป็นหมั่นไป พอ Audi เข้ามาซื้อกิจการโครงการ Baby Lambo จึงถูกรื้อขึ้นมาปัดฝุ่น แต่แบบเดิมๆที่ทาง Italdesign ออกแบบไว้มันไม่ถูกใจเยอรมัน เลยถูกส่งไปเกลาใหม่โดยใช้พื้นฐานของตัวเดิมก็คือ Cala แต่ไม่รู้เกลากันอีท่าไหน หน้าตาจึงออกมาเป็นอย่างที่เห็น เพราะว่าตัว Cala กับ Gallardo แถบไม่เหมือนกันเลย หน้าจะเรียกว่าออกแบบใหม่หมดจะดีกว่า



ถ้าจะนับปริมาณ Gallardo ในถนนเมืองไทย น่าจะอยู่ที่แถวๆ 20 กว่าคัน อันนี้ไม่แน่ใจจำนวนที่แน่นอน แต่ที่ออกจาก Lamborghini Bangkok ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างถูกต้องมีประมาณเกือบๆ 20 คัน ดังนั้นประชากร Gallardo บนท้องถนนเมืองไทย จึงน้อยกว่า F360 อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนเรื่องว่าขับแล้วคนมองกว่า F360 หรือเปล่านี่ผมว่าสูสีนะ ขึ้นอยู่กับสีด้วย เอาเป็นว่าเป็นที่ต้องตาต้องใจของสาวๆละกัน
Gallardo นั้นเป็นกระทิงที่เกิดภายใต้การดูแลของ Audi อย่างเต็มตัวดังนั้น ผมจะไม่แปลกใจเลยว่าจะพบอะไรที่เป็นเยอรมันในรถคันนี้เต็มไปหมด แน่นอนว่ามันมีข้อดี แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และจะเป็นอะไรบ้างนั้นเรามาดูกันเลยดีกว่า
Exterior



หน้าตาภายนอกของ Gallardo ครั้งแรกที่ผมเห็นจากสื่อเมืองนอก ถ้ามองแบบผ่านๆ ผมว่ามันคล้ายกับ Murcielago เลยแหละ เหมือนจับเอา Murcielago มาย่อส่วนแล้วก็ ทำให้มันมีเหลี่ยมสันขึ้นมา ลดความกว้างของตัวถังที่มันดูกางๆลง เห็นครั้งแรกในภาพนึกว่าคันมันจะใหญ่ๆกาง แต่พอเจอตัวจริงกลับผิดคาด มันดูเล็กกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ (ถ้าจะวัดมิติตัวรถ Gallardo สั้นกว่า 911 Turbo อยู่ 135 mm นอกจากนี้ความกว้างของ Gallardo ยังน้อยกว่า Modena อยู่ 22 mm) กันชนด้านหน้าของ Gallardo นี่เรียกว่าแถบจะโขกพิมพ์เดียวกับ Murcielago มาจะต่างก็ตรงช่องลมในกันชนที่ Gallardo จะมีเหลี่ยมมุมมากกว่าหน่อย สงสัยเป็นพิมพ์นิยมเหมือนนางเอกช่อง 7 ที่ไม่ว่ากี่คนก็ต้องหน้าตาแนวเดียวกันหมด จนแยกไม่ค่อยออก จุดที่แตกต่างที่สุดระหว่าง Murcielago กับ Gallardo ก็คือไฟหน้านี่แหละ ของ Gallardo ไฟจะทรงเหลี่ยมๆ ยาวๆ ต่างกับของ Murcielago ที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู โดยไอ้เจ้าไฟหน้าทรงผอมๆ เรียวๆนี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่าด้านหน้าของ Gallardo มันดูแคบๆไม่ค่อยกางเท่าไร




ด้านข้างของ Gallardo ถ้าดูเส้นที่ลากจากฝากระโปรงด้านหน้าขึ้นมาตามแนวหลังคาจรดที่เสา C จะมีความรู้สึกคล้ายกับ Murcielago มากๆ แต่พอมองดูเส้นสายตรงกลางรถนี่แหละถึงจะต่าง เพราะของ Murcielago จะดูเรียบๆ แต่ของ Gallardo จะดูเหลี่ยมๆรกๆ ผมว่าเส้นมันเยอะไป ช่องลมตรงซุ้มล้อหลัง ใหญ่มากถึงมากที่สุดเมื่อเทียบกับขนาดตัวรถ ยิ่งมาเจอกับ mag ทรงยุ่งๆอีกยิ่งไปกันใหญ่ แต่ภายใต้ไอ้เจ้า mag ทรงยุ่งๆนี่แหละที่เป็นที่อยู่ของ Caliper ขนาดมโหฬารเต็มล้อที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาอันหนึ่ง (นับเฉพาะที่ติดรถจากโรงงานนะครับ) นี่ขนาด mag 19 นิ้วแล้วนะเนี่ย ทางด้านหน้าเป็น Caliper ขนาด 8 pots ส่วนทางด้านหลังเป็นขนาด 4 pots โอ้ว....จอร์จมันใหญ่สะใจดีแท้ เท่าที่ผมรู้จักคนขับ Gallardo ยังไม่เคยเห็นมีใครเปลี่ยนเบรกสักคน โดยระบบเบรกถูกผูกขาดสัมปะทานโดย Brembo เจ้าเก่า ที่รับทำเบรก supercar เกือบจะทุกรุ่นบนโลกใบนี้ มันผูกขาดพอๆกับที่บริษัท How Come ผูกขาดสัมปะทานโฆษณาตามรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและบนฟ้านั้นแหละครับ




อีกอย่างที่แตกต่างกับ Murcielago แบบสุดกู่ก็คงจะเป็นประตูนี่แหละ ประตูของ Gallardo เปิดแบบธรรมดา ไม่ได้เปิดแบบ scissor door เหมือนกับบรรพบุรุษของกระทิงรุ่นอื่นๆ ข้อดีก็คือเปิดที่ไหนก็ได้ไม่ต้องกลัวชนเพดาน ขึ้นลงง่ายขึ้น แต่ข้อเสียก็คือเปิดแล้วมันไม่หล่อเหมือนกับรุ่นพี่มันนะสิ เอาน่า ขับแค่นี้สาวก็กรี๊ดแล้ว
ทางด้านท้าย จะเห็นว่าก้นของ Gallardo มันเหลี่ยมมากๆ ไม่ได้ดูโค้งมนเหมือนกับ Murcielago นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยช่องรูระบายความร้อนเต็มไปหมด ไฟท้ายทรงเหลี่ยมๆ ไม่ได้เป็นไฟโดนัทอีกต่อไป โดยไอ้กรอบไฟท้ายนี่ถ้าไปดูใกล้ๆจะเห็นว่าเป็นลายหกเหลี่ยม เล็กๆ ดูไกลๆจะเหมือนกับไฟท้าย LED แต่ไม่ใช่นะครับ หลอดธรรมดานี่แหละ กันชนหลังมีตะแกรงเหมือนกับ Challenge Grille ของ Ferrari มาให้จากโรงงาน ถัดลงมาเป็นปลายท่อไอเสียออกมาสองฝั่ง ฝังอยู่ในระนาบเดียวกับกันชน ไม่ได้ยื่นออกมาเหมือนกับพวก Ferrari ส่วน Spoiler หลังที่อยู่ท้ายรถเป็นแบบ Active Spoiler เหมือนกับที่อยู่ใน Murcielago




รวมๆภายนอกของ Gallardo ผมว่ามันได้รับอิทธิพลจาก Murcielago มามากเลยละ โดยเฉพาะด้านหน้าตอนมองจากด้านข้าง แต่ถ้าดูทั้งคันจะดูเหลี่ยม แล้วก็แข็งๆกว่า เส้นสายที่ลากบนตัวรถเบรกให้รถดูแข็งนั้นมีเยอะมากถึงมากที่สุด โดยเฉพาะครึ่งคันหลังนี่ ยิ่งกว่าเอากระดาษไปให้เด็ก 2 ขวบเขียนเล่นซะอีก มันเต็มไปด้วยรูแล้วช่องระบายความร้อนกับช่องดักลม ถามว่าสวยไหม ผมว่ามันยังดูขาดๆเกินๆไปนิด ไม่ได้ดูเรียบเนียนประณีตเหมือนกับที่ผมเห็นใน Murcielago แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ได้ เพราะว่าราคาต่างกันบาน แถมความประณีตในการออกแบบก็ต่างกันบานอีกเช่นกันเพราะกว่าจะเกลา Murcielago เสร็จนี่เล่นรอกันจนแก่ แต่พอเป็น Gallardo นี่แป๊บเดียวออกแล้ว
Engine, Transmission, Suspension



แน่นอนว่าตามสไตล์ supercar เครื่องยนต์ต้องวางอยู่กลางรถ ฝากระโปรงหลังของ Gallardo ไม่ได้ทำจาก carbon-fiber เหมือนกับที่อยู่ใน Murcielago โดยตัวแรกๆจะไม่มี option ฝากระโปรงแก้ว (ที่เหมือนกับใน Ferrari F360) แต่สำหรับ 2004 จะมีให้เลือกสั่งได้ ข้อดีของฝากระโปรงหลังเป็นแก้วก็คือมันทำให้มองเห็นเครื่องยนต์ขนาด V10 ได้ชัดเจน โปร่งใสกว่าสาวๆใส่ G- String ซะอีก นอกจากนี้ทาง Lamborghini SpA. ยังเคลมว่ามันสามารถระบายความร้อนได้ดีกว่าฝากระโปรงแบบธรรมดา (ที่เป็นช่องๆ) อันนี้ผมไม่รู้ว่าจริงเท็จขนาดไหน แต่ที่แน่ๆเลยคือถ้าอยากได้ฝากระโปรงหลังเป็นแก้วต้องจ่ายเพิ่มอีกประมาณ 300,000 บาท แพงจับใจดีจริงๆ โดยบ้านเรามี Gallardo หนึ่งคัน (ตอนที่ผมพิมพ์บนความนี้) ที่ฝากระโปรงหลังเป็นแก้ว ส่วนตัวผมว่าฝาหลังเป็นแก้วนะสวยกว่า แบบเดิมๆเยอะ เพราะว่ามันจะทำให้ด้านท้ายของ Gallardo ดูเรียบขึ้นไม่ได้มีช่องรกๆเยอะเกินไป
Engine 90° V10
Cylinder Capacity 4,961 cc
Max. Power 500 bhp @ 7,800 rpm
Max. Torque 510 Nm @ 4,500 rpm
Weight/Power Ratio - bhp/litre
Transmission 4WD
Gear Box 6-Speed E-Gear
0-100 4.3 sec
0-400 12.2 sec
0-1000 22.5 sec
100-0 - sec
Top Speed 309 km/h
Length 4300 mm
Width 1900 mm
Height 1165 mm
Weight 1,430 kg
เปิดฝากระโปรงท้ายขึ้นมาสิ่งที่เห็นก็คือเครื่องยนต์ขนาด V10 สูบ 5000 cc.ไม่ใช่ V12 อย่างที่เคยเป็นมาในรถทุกๆรุ่นของ Lamborghini ระบบหล่อลื่นเป็นแบบ Dry Sump ตามสมัยนิยม ที่รถ supercar ยุคนี้ต้องมี ใครไม่มีเป็นตกยุค ที่สำคัญคือมันไม่ใช่เครื่องของ Lamborghini แต่เป็นเครื่องของ Audi เอามันปรังปรุงให้มันแรงขึ้น อันนี้จะว่าก็ไม่ได้ เพราะ Lamborghini ไม่เคยทำเครื่อง V10 เลยสักครั้ง ไอ้ครั้นจะพัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมดก็จะเปลืองไปหน่อย ก็เลยแก้ปัญหาง่ายๆเอาเครื่องของ Audi มาใส่ละกัน เหมือนกับเวลาคุณให้ของขวัญกิ๊กคุณนั้นแหละ ถ้าเกิดอยากจะประหยัดงบประมาณก็หยิบไอ้ของที่สาวๆคนอื่นให้มาไปให้กิ๊กคุณอีกที เห็นไหมว่าประหยัดไปได้ตั้งเยอะ




ข้อดีของไอ้เจ้าเครื่อง V10 ใน Gallardo ก็คือมันสามารถสร้างแรงบิดจำนวนมหาศาลได้ถึง 510 NM ที่ 4500 รอบเท่านั้น นอกจากนี้แรงบิดกว่า 80% ยังมีให้ใช้งานตั้งแต่ 1,500 รอบเท่านั้น เห็นชัดๆเลยว่าจุดเด่นที่ Gallardo ดีกว่า Modena ก็คือเรื่องแรงบิดนี่แหละมากกว่าเห็นๆ ไม่เหมือน Modena ลากแล้วลากอีก ลากกันจนเกือบจะหมดลมนั้นแหละถึงจะได้แรงบิดสูงสุด แถมกระจิดริดด้วย
แรงม้าและแรงบิดทั้งหมดจะถูกส่งผ่านเกียร์แบบ 6-speed manaul ที่มี clutch แบบ twin-plate ลงสู่ล้อทั้งสี่ ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ 4 ล้อ full-time ล้อหน้าขนาด 235/35 ZR 19 ส่วนล้อหลังขนาด 295/30 ZR 19 โดยใช้ยางของ Pirelli P ZERO 'ROSSO' (อันเดียวกับที่ติดอยู่ใน CS นั้นแหละครับ) หรือว่าถ้าขี้เกียจเหยียบ clutch ก็มี option ให้เลือกเสียตังค์ เป็น gearbox แบบ sequential 6 speed ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้หลังพวงมาลัยเหมือนกับคันนี้ โดย Lamborghini ตั้งชื่อจะเก๋กู๊ดว่า Robotized Sequential E-gear System หรือที่บ้านเราเรียกสั้นๆว่า E-Gear โปรดอย่าสับสนกับอีแก่ที่บ้าน เพราะว่านี่เจ๋งกว่ากันเยอะ




ผลจากการที่รถมันสั้นทำให้อัตราส่วนการกระจายน้ำหนักของ Gallardo อยู่ที่ 42/58 (ไม่ใช่ 50/50) ซึ่งก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก มีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 1430 kg. สามารถทำความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 4.3 วินาที และผ่านหลัก 200 ได้ใน 14.5วินาที ดีกว่า F360 อยู่เยอะ อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับแรงบิดมหาศาลด้วย ดังนั้นถ้าจับมาวิ่งกันตรงๆไม่ต้องห่วง Gallardo ชนะขาด
Interior



ในตัวของ Murcielago นั้นภายในยังคงมีความเป็นอิตาลีอยู่บ้าง แต่พอเป็น Gallardo แล้วนี่ไม่เหลือเลย ที่เปิดประตูของ Gallardo ก็ธรรมดา ไม่ได้ต้องอาศัยปัญญาในการหาที่เปิดหรือวิธีเปิดเหมือนกับ Murcielago เปิดประตูเข้ามานึกว่าเป็น Audi ตัวใหม่ๆ ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ใช้อุปกรณ์ภายในบางอย่างร่วมกับ Audi จริงๆ เดี๋ยวจะเล่าให้ฝังว่ามีอะไรบ้าง โดยภายในของ Gallardo นี่ถ้าจับปิดตามาขึ้นนั่ง แล้วให้ทายว่ารถอะไรนี่สงสัยผมคงเดาว่าเป็นรถเก๋งธรรมดา หาความเป็นสปอร์ตไม่เจอ ยิ่งคิดจะหาความเป็น Lamborghni นี่ยิ่งแล้วใหญ่ แถบจะหาไม่เจอนอกจากที่เขี่ยบุหรี่ที่ดูไม่ค่อยทนทาน




เบาะนั่งทรงเดียวกับ Murcielago แต่มีระบบปรับไฟฟ้ามาให้ พวงมาลัยทรงอ้วนๆ ป่องๆ 3 ก้าน นี่คือพวงมาลัย3 ก้านที่หน้าตาน่าเกลียดที่สุดอันหนึ่งเท่าที่ผมเคยเห็นมาในรถสปอร์ต ทางด้านขวามือของคนขับเป็นสวิทช์เกียร์ถอย ส่วนหน้าปัทม์นี่เห็นครั้งแรกนึกว่ายกเอาของ Audi รุ่นใหม่ๆมาใส่ เพราะเหมือนกันยังกะแกะ วัดความเร็วกับวัดรอบนั้นอยู่ห่างๆกัน แถมตรงกลางยังเป็น display แสดงผลต่างๆของตัวรถอีก จะดีกว่าของ Audi กับ Volk หน่อยก็ตรงที่จอของ Gallardo มันมีสีแค่นั้นแหละครับ




ถัดมาเป็น console กลางซึ่งใช้รวมกับ Audi A3 ตัว Hatchback ลองนึกภาพรถราคา 22 ล้านใช้อุปกรณ์ในห้องโดยสารรวมกับรถราคา 1.6 ล้านดูสิครับ มันควรจะเสียอารมณ์ไหม ด้านบนสุดเป็นที่อยู่ของ meter เล็กๆ 3 อันไว้บอก oil temp, oil press, แล้วก็กระแสไฟของแบตเตอรี่ ถัดลงมาเป็นช่องแอร์ที่นาย webmaster เกลียดมากเพราะว่าไอ้ช่องแอร์ทรงนี้เนี่ยบิดยังไงก็เป่าไม่โดนตัวสักเท่าไร ที่ยกมากจาก Audi ทั้งดุ้นก็คือไอ้เจ้าระบบเครื่องเสียงกับระบบควบคุมความเย็นที่ Audi เรียกว่า Ergonomics Heating/Air Control Unit นั้นแหละครับ โดยเห็นทาง Lamboghini บอกว่ายกมากจาก A8 แน่นอนว่าถ้ายกมาจากรถเยอรมันมันต้อง functional อยู่แล้วล่ะ แต่ส่วนตัวผมว่า ไอ้นี่แหละคือตัวการทำลายความเป็นสปอร์ตที่สุดในห้องโดยสาร แม้ว่า console กลางจะลาดเอียง ช่วยเพิ่มความเป็นสปอร์ตแล้วก็เหอะ เมื่อเจอระบบแอร์กับเครื่องเสียงหน้าตายังกะรถเก๋งยี่ห้อว่า Audi ...เรียบร้อยเลยครับ ดูครั้งแรกนี่ยังนั่งสงสัยตัวเองเลยว่ากำลังขับรถอะไรอยู่หว่า ใช่รถสปอร์ตจาก Italy นามว่า Lamborghini จริงๆ หรือว่ารถเก๋งที่ชื่อว่า Audi




Console เกียร์ถ้าเกิดเป็นตัวเกียร์ธรรมดาจะมีแป้นเกียร์ 6-speed แบบ dog leg อยู่แต่เผอิญคันนี้เป็นระบบ E-Gear จึงไม่มีแป้นเกียร์แต่ถูกแทนที่ด้วยปุ่มเล็กๆสามปุ่มที่ควบคุมระบบการทำงานของเกียร์และ Traction Control เหมือนกับที่อยู่ใน F360 Modena เด๊ะๆนั้นก็คือ Sport, Auto และ Low Grip ส่วนทางด้านหลังมีที่ให้วางของได้นิดๆหน่อยๆเช่นถุงกอล์ฟแบบ half set หรือกระเป๋าเอกสาร แต่ถ้าคิดจะเอาคนขึ้นไปนั่งละก็หมดสิทธ์
ภายในของ Gallardo ถ้าเกิดไม่สั่ง option อะไร ภายในจะเป็นสีเดียวครับ แต่ถ้าอยากหล่อให้ภายในเป็น two-tone หรือ Alcantara ก็ต้องเสียตังค์เพิ่มเอาเอง
Test



ผมเห็นกุญแจของ Gallardo ครั้งแรกนึกว่ากุญแจ Audi โดยกุญแจของ Gallardo เนี่ยเป็นแบบ Remote พร้อมกับระบบ Immobilizer ในตัวตามสมัยเด๊ะๆ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่รู้สึกว่ามันเหมือนกุญแจ Audi แต่คนรู้จักคนหนึ่งที่พึ่งซื้อ Gallardo มาคันหนึ่งก็เคยโดนมากับตัว เพราะมันทำกุญแจหล่นแล้วเพื่อนอีกคนเก็บได้ เละโดนถามว่าพึ่งซื้อ Audi มาเหรอ
การขึ้นลง Gallardo ทำได้ไม่ยากเหมือนกับ Lamborghini รุ่นอื่นๆ แค่เปิดประตูก้าวขาขึ้นไปนั่งก็จบ กาบบันได้ประตูไม่ได้กว้างนรก หลังจากขึ้นไปนั่ง สิ่งที่คุณจะค้นพบเป็นครั้งแรกใน Lamborghini ก็คือเวลาคุณเข้าไปนั่งคุณจะมี Head Room มี Leg room, แล้วก็มีที่ให้หายใจไม่ต้องอึดอัด เบาะนั่งแบบ Semi Bucket Seat นั่งสบายดี แม้จะไม่กระชับโดยเฉพาะตรงช่วงไหล่ แต่ก็เหมาะสมกับการขับขี่ทุกวัน มีสิ่งที่ผมต้องแปลกใจอย่างหนึ่งก็คือทำไมเบาะปรับไฟฟ้าตัวนี้มันไม่สามารถปรับให้สูงขึ้นหรือต่ำลงได้ ดังนั้นถ้าหากคุณตัวเตี้ย(อย่างผม) จะมีปัญหาตามมา เพราะอะไรเดี๋ยวค่อยบอก




หลังจากปรับที่นั่งให้พร้อม ผมก็บิดกุญแจไปที่ตำแหน่ง on สิ่งที่คุณจะไม่สามารถได้ยินใน Audi หรือรถเยอรมันใดๆแต่จะได้ยินในรถ supercar จากอิตาลีก็คือเสียงระบบไฟมันทำงานดังวี้ดเบาๆ พร้อมทั้งเสียงปั๊มติ๊กทำงานอยุ่ข้างหลังสองหูคุณ หลังจากที่ไฟ check ทุกอย่างขึ้นมา ก็แค่เพียงบิดกุญแจไปที่ start ไม่ต้องมานั่งกดปุ่มเหมือนใน supercar รุ่นอื่นๆ สำหรับคนที่ชอบอะไรดั้งเดิมคงถูกใจ เพราะไม่ต้องมานั่งหาปุ่ม start แค่เสียบกุญแจเข้าไปแล้วก็บิด
เสียงเครื่องยนต์ที่คุณได้ยินหลังจาก Start นั้นจะทำให้แปลกใจ เพราะเสียงมันไม่ได้โวยวายอย่างที่ Lamborghini ตัวเก่าๆเป็น มันออกจะเงียบๆซะด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดี Lamborghini มี Sport Exhaust ให้สั่งได้สำหรับคนที่รู้สึกว่าเสียงเครื่องเดิมๆมันไม่สะใจ หลังจาก start เครื่องทิ้งไว้สักพัก ผมก็กดปุ่มเกียร์ถอยทางขวามือ ไฟตำแหน่งเกียร์ถอยแสดงขึ้นมาที่ display บนหน้าปัทม์ ครั้งแรกที่ถอยเจ้า Gallardo แถบจะทับ รปภ. ที่ยืนอยู่ข้างหลังคอยโบกรถให้เสียชีวิต เพราะคันเร่งมัน sensitive แตะนิดเดียวรถก็พุ่งไปข้างหลังแล้ว ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะชินกับเจ้าสวิทช์เกียร์ถอย แล้วก็คันเร่งตอนถอยรถ เพราะถอยแต่ละทีแถบจะชนคนตายทุกที





ส่วนเกียร์เดินหน้าก็เหมือนเดิม คือดึงแป้นเกียร์ทางด้านขวาเข้าหาตัว เลขหนึ่งก็จะขึ้นบนหน้าปัด แตะคันเร่งเบาๆรถก็เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ไม่มีอาการกระตุกให้เห็น แถมจังหวะตอนเข้าเกียร์ 1 ระบบมันเข้าเกียร์หนึ่งให้เร็วกว่าของ F360 Modena ซะอีก คือดึงแป้นเกียร์ปุ๊บเข้าหนึ่งปั้บ ไม่มีระยะฟรีให้เห็น
อีกอย่างที่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมเคยขับ Lamborghini มา และพึ่งประสบพบเจอก็คือไม่มีสิ่งแปลกปลอมมาบังกระจกหลังอีกต่อ คุณสามารถมองกระจกมองแล้วรู้ได้ว่าอะไรอยู่ข้างหลัง น่าดีใจชะมัด แม้ว่ามุมมองจะไม่ได้ดีเท่ากับ Porsche หรือ Ferrari แต่ว่าถ้าเทียบกับ Murcielago แล้วผมว่ามันขับในเมืองได้ง่ายกว่าเยอะ แต่ที่ผมบอกว่ามันดีนี่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีจุดบอดนะครับ Lamborghiniก็คือLamborghini มันต้องขับลำบากๆ แม้จะมีไม่มากเหมือนเมื่อก่อนแต่ก็ขอสักหน่อย




โดยในเจ้า Gallardo เนี่ยอย่างที่ผมบอกไปว่าเบาะมันปรับสูง-ต่ำไม่ได้ ดังนั้นเวลาขับเนี่ยจะไม่รู้ว่ากันชนหน้ามันอยู่ตรงไหน ต้องกะเอาเอง นอกจากนี้จุดบอดที่ใหญ่ที่สุดตามสไตล์ก็คือไอ้เจ้า Pillar C นี่แหละ เวลาจะเปลี่ยนเลนที่ หันกับไม่หันไปดูไม่ค่อยต่างกันเท่าไร คือมันมองไม่เห็น เรื่องกระจกมองข้างนี่ก็พอๆกันนั้นแหละครับ คือมองแล้วมุมอับมันเยอะปรับยังไงก็ไม่ work ส่วนกระจกมองหลังก็ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรเท่าไร (แม้ว่ากระจกหลังจะไม่มีอะไรมาบังแล้วก็ตาม) เพราะเวลาถอยทีในเมื่อด้านข้างมองไม่ค่อยเห็นหันไปก็มองอะไรไม่ค่อยได้ ถอยแต่ละทีเลยค่อนข้างลำเค็ญ ข้อเสียอีกประการที่ผมพบหลังจากที่ได้ขับเจ้า Gallardo ก็คือ console เกียร์มันหนามาก ทั้งที่ๆไม่มีแป้นเกียร์แล้วทำไมมันยังต้องทำ console ให้หนาถึงขนาดนี้ก็ไม่รู้ ทำให้ห้องโดยสารดูอึดอัดเวลาอยู่ในรถนานๆ แต่ถ้าให้เทียบกับกระทิงรุ่นอื่นๆแค่นี้ก็ดีขึ้นถมแล้วล่ะ




เท่าที่ลองขับในเมืองอัตราเร่งในรอบต่ำๆทำได้ดีมากๆ การขับขี่ในเมืองเปรียบเทียบกับ Lamborghini ตัวก่อนๆแล้วกินขาด เมื่อก่อนเวลาคุณขับ Lamborghini มันจะเหมือนกระทิงนั้นแหละออกแนวโหดๆ ทุกอย่างแข็งไปหมด ขับยากขับลำบาก แต่พอเป็น Gallardo แล้วจากกระทิงเปลี่ยนไปเป็นแม่วัวฟาร์มโชคชัย มันขับง่ายขึ้นเยอะ เนื่องจากคุณไม่ต้องเหยียบ clutch อีกต่อไป และถึงแม้จะเป็นตัวเกียร์ธรรมดาเท่าที่ผมเคยคุยกับคนที่ขับตัวเกียร์ธรรมดาก็บอกว่า clutch มันนิ่มพอๆกับ Murcielago ไม่ต้องมีกล้ามขาแบบ Arnold ก็สามารถขับได้ เสียงเครื่องของ Gallardo นั้นค่อนข้างเงียบที่เดียวเมื่อใช้งานในรอบต่ำ มันไม่ได้โวยวายแบบ Murcielago หรือ Ferrari เครื่อง V8 ขับไปไหนก็ไม่กลัวว่าจะโดนชาวบ้านด่า การตอบสนองของเกียร์ที่เรียกว่า E-Gear นั้นในเรื่องความ smooth เวลาเปลี่ยนเกียร์ ส่วนตัวผมว่ามัน smooth กว่าเกียร์ F1 ของ Ferrari อีกนะเนี่ย นอกจากนี้ด้วยความที่เครื่อง V10 ของ Gallardo สามารถสร้างแรงบิดได้จำนวนมากๆตั้งแต่รอบต่ำ ทำให้สามารถใช้เกียร์สูงๆได้ แม้จะใช้ความเร็วต่ำก็ไม่อืดอาด ไม่จำเป็นต้องใช้รอบสูงๆหรือขับลากรอบไว้ตลอดเวลาให้รำคาญหูเพราะกลัวว่ารถจะไม่มีแรง พวงมาลัยก็เบาโหยง เหมือนกับรถจ่ายกับข้าวทั่วไป ไม่ได้หนักเหมือนกับรถเมล์เขียว จะมีข้อเสียอีกอย่างก็คือไอ้ความเตี้ยของรถนี่แหละ เพราะมันเตี้ยกว่า F360 Modena ดังนั้นเวลาขับไปไหนมาไหนที่นั้นแสนจะลำบากและเสียวแปร๊บทุกทีที่ได้ยินเสียงครูด ช่วงล่างแม้มันจะไม่ได้แข็งเหมือนกับ Ferrari F360 CS แต่ถ้าเทียบกับรถธรรมดาก็ต้องถือว่าแข็งละครับ ขับไปไหนก็สามารถรับรู้ถึงพื้นถนนได้ทุกอนู กระแทกกระทั้นมันก้นเป็นที่สุด ยิ่งถนนบ้านเราแสนจะเรียบราวกับกระจกยิ่งไปกันใหญ่ จะขับรถประเภทนี้ต้องทำใจ




อีกอย่างที่น่าดีใจก็คือไอ้เจ้าระบบปรับอากาศนี่ที่บ้านเราเรียกว่าแอร์ ใน Gallardo มันคือแอร์จริงๆมันสามารถทำความเย็นได้ ไม่ใช่มีแอร์ แต่เหมือนกับแอร์กี่ ที่เปิดกับไม่เปิดค่าเท่ากันคือร้อนตับแลบ อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับแอร์ของ Audi A8 ที่ยกมาใส่ทั้งดุ้น แม้ว่าหน้าตาจะดูไม่เอาอ่าวก็เหอะ วิทยุก็ถือว่าสอบผ่านไม่ต้องไปเปลี่ยนให้เสียตังค์ ความหล่อบนท้องถนนไม่ต้องห่วงครับ ขับไปไหนก็สะกดทุกสายตาผู้คนบนท้องถนนขนาดคันนี้สีดำ ยังเด่นซะ ถ้าเป็นสีตอแหลๆเช่นสีเหลืองหรือส้มละก็รับรองว่าเด่นกว่านี้อีกเยอะ
แต่ถ้าจะถามผมว่าอะไรนั่งสบายกว่า มุมมองดีกว่ากันระหว่าง F360 กับ Gallardo ผมยังคงให้ F360 ดีกว่า ด้วยเหตุผลดังนี้คือ 1. เบาะของ Gallardo ปรับสูง-ต่ำไม่ได้ ทำให้มองไม่เห็นด้านหน้ารถ 2. คือขนาดยางที่ใหญ่ทำให้มันมาเบียด leg room ทำให้เวลาขับเท้าขวาต้องวางเอียงๆ 3. คือ console เกียร์ที่ใหญ่เถอะถะทั้งๆที่ไม่มีแป้นเกียร์แล้วมาเบียดบังที่นั่งผู้โดยสารมากไป 4.สุดท้ายที่คงความเป็น Lamborghini ไว้อย่างสม่ำเสมอก็คือมุมองทางด้านหลังที่เวลาถอยเข้าถอยออกทีลำบากแทบตาย




แม้ตำแหน่งการนั่งและมุมองของ Gallardo จะไม่ดีเท่ากับ F360 แต่สิ่งที่ Gallardo ดีกว่า F360 อย่างชัดเจนก็คือ performance ในการขับขี่มันดีกว่าเห็นได้ชัดไม่กว่าจะเป็นการ handling ในโค้ง หรืออัตราเร่งมันดีกว่าหมด เริ่มจากอัตราเร่งและ topspeed ผมกับช่างภาพกล้าตายได้อาศัยทางด่วนตอนกลางคืนเป็นที่ลองอัตราเร่งของเจ้าแม่วัวจากฟาร์มโชคชัยตัวนี้ (ที่ช่วงหลังๆ ภาพที่เอามาลงในบทความเป็นตอนกลางคืน มันมีสาเหตุครับ คือตอนกลางวันช่วงหลังๆเนี่ย ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเดี๋ยวรถมันถึงเยอะนัก เลยไม่ค่อยมีโอกาสจะทดสอบอะไรเท่าไร)
ถึง Gallardo มันจะเป็นกระทิงที่ขับง่ายที่สุดเท่าที่ผมเคยขับมา แต่อัตราเร่งและความเร็วของมันก็ยังความเป็น Lamborghini ได้อย่างครบถ้วน กระแทกคันเร่งลงไปจนหมดในเกียร์หนึ่ง มันพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แรงดึงมีให้สัมผัสได้ตั้งแต่รอบต่ำๆแค่ 2,000 รอบ และจะเปลี่ยนจากแม่วัวฟาร์มโชคชัยกลายเป็นวัวบ้าทันทีที่รอบเครื่องยนต์ถึง 4,500 รอบ มันดึงดีชะมัด เสียงเครื่องยนต์แผดร้องออกมาสุดเสียง ที่น่าแปลกใจก็คือเสียงเครื่องของ Gallardo มันออกไปทางโทนแหลมมากกว่า Lamborghini ทุกๆตัว ผมว่ามันคล้ายเสียงเครื่องของ Ferrari มากกว่าซะด้วยซ้ำ ถ้าถามผมว่าเพราะไหม ส่วนตัวผมว่ามันเพราะกว่า Lamborghini ตัวก่อนๆเยอะ มันเป็นคนละอารมณ์กันเพราะLamborghini ตัวอื่นๆเสียงเครื่องมันจะออกแนวโวยวาย คำรามๆโทนต่ำๆ ซึ่งผมว่ามันน่ารำคาญมากกว่า




เข็มวัดรอบที่กวาดขึ้นอย่างรวดเร็วแป๊บเดียวก็ถึง 7,500 rpm อัตราเร่งจากเกียร์หนึ่งเพียงเกียร์เดียวทำได้เฉียดๆ 100 km/h ผมดึงแป้นเกียร์ทางด้านขวาเข้าหาตัวเพื่อ shift เป็นเกียร์สอง และทะลุผ่านหลัก 100 ได้ในเวลาประมาณ 4.4 (ใกล้ๆกับที่โรงงานเคลมไวที่ 4.3) เสียงเครื่องยนต์ยังคงคำรามอยู่เต็มสองรูหู แม้ว่ามันจะไม่ได้ดังขนาด Murcielago แต่แค่นี้ก็ตื่นเต้นแล้ว ด้วยอัตราเร่งระดับนี้ทำให้ Gallardo ชนะทั้ง Porsche 911 Turbo และ Ferrari F360 Modena อัตราเร่งยังคงมีอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะเป็นเกียร์ 3 ต่อด้วยเกียร์ 4 แรงดึงยังคงมีให้สัมผัสได้ โดยเท่าที่ลองจับเวลาดู Gallardo สามารถทำความเร็วได้จาก 0-200 ได้ในเวลาแถวๆ 15 วินาที และหมดเกียร์ 4 ที่ความเร็วเฉียดๆ 215 ใช้แค่สี่เกียร์ยังวิ่งได้เร็วกว่า Alfa156 ซะอีก ความเร็วยังคงไต่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าความเร็วจะทะลุหลัก 200 ไปแล้วตัวรถยังคงแนบนิ่งสนิทติดกับพื้นโลกยิ่งกว่าเอากาวตราช้างทาไว้ที่ล้อ ทางโรงงามเคลมไว้ว่า Gallardo สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 309 kph แต่ที่ผมทำได้วันนั้นอยู่แถวๆ 290 ถ้าจะไปต่อมันก็ได้เพราะรถยังมีแรงเหลือ แต่ทั้งคนนั่งและคนขับใจมันไม่ไปต่อแล้ว แก่แล้วก็อย่างนี้แหละครับ




สิ่งที่ดีที่สุดของ Gallardo ไม่ใช่อัตราเร่งหรือ topspeed แต่คือการบังคับควบคุม ในโค้งสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่ามันขับง่ายโคตรๆ และแม่นยำมากๆในโค้ง ตอนแรกผมคิดว่ารถขับเคลื่อนสี่ล้อน่าจะมีอาการ understeer แต่ Gallardo เป็นรถคันแรกที่เป็นระบบ AWD แต่ในโค้งไม่มีอาการ understeer สักนิด นอกจากนี้ปกติเวลาขับพวกรถเครื่องวางกลาง ถ้าเกิดคุณอยู่ในโค้งแล้วตัดสินใจยกคันเร่งขึ้นมา สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือท้ายรถจะกวาดออกทันที (oversteer) แต่ใน Gallardo นี่ไม่มีอาการแบบนี้เจ๋งไหม
การเกาะถนนและเข้าโค้งของ Gallardo ทำได้ดีกว่า F360 อย่างเห็นได้ชัด พูดง่ายๆภาษาชาวบ้านก็คือคนละชั้นเลยล่ะ อย่างในโค้งที่แคบๆและใช้ความเร็วสูงๆ F360 จะมีอาการ Oversteer ให้เห็น ต้องใช้ฝีมือในการควบคุมรถมากกว่า แต่ของ Gallardo ไม่มีอาการนี้ขับเข้าไปเถอะครับ ไม่มีอาการให้หวาดเสียว อันเนื่องมาจากระบบ AWD ที่ทำงานร่วมกับ ESP ที่ไม่ได้เข้ามาแทรกแซงรถมากจนเกินไปจนรถมันทื่อขับไม่สนุก ถามว่าอารมณ์เวลาขับ Gallardo เป็นอย่างไงผมว่ามันคล้ายกับ Lotus Elise แต่ใหญ่กว่า เพราะเวลาเข้าโค้ง Gallardo สามารถเลือกไลน์ที่ต้องการได้ เมื่อบังคับรถเข้าไปหน้ารถจะจิกเข้าไปในโค้งหลังจากนั้นเมื่อเดินคันเร่ง ตามสไตล์รถเครื่องวางกลาง หน้ารถจะแถออกนิดๆ (เหมือนจะ Understeer ถ้าเป็น MR อย่าง F360 ต้องคอยอมคันเร่งไว้ ห้ามถอนหมดไม่งั้นเดี๋ยวมี counter) แต่ของ Gallardo พอหน้ารถจะแถออกท้ายรถจะปัดออกแทนนิดๆให้รถยังคงอยู่ในไลน์เดิมได้ ไม่ใช่แค่โค้งเดียวแต่ทุกๆโค้งที่เข้าไปเมื่อรถเหมือนจะมีอาการ understeer (คือทำท่าว่าจะมีตามความรู้สึก) ท้ายรถจะปัดออกนิดๆให้รถหันเข้าสู่ไลน์เดิมที่เลือกไว้ทุกครั้ง




นอกจากนี้เวลาเปลี่ยนทิศทางอย่างเช่นโค้ง S เจ้า Gallardo ก็สามารถเปลี่ยนทิศทางได้อย่างรวดเร็ว คือแค่คุณหันพวงมาลัยไปทางไหนรถก็ไปทางนั้นตามสั่ง ไม่มีอาการดื้อให้เห็น มันไม่ได้อุ้ยอ้ายเหมือนกับแม่วัวตัวใหญ่ๆ แต่มันไวเหมือนกับแมลงวันบินหลบไม้ตีมากกกว่า เมื่อรวมกับแรงบิดที่มีมากตั้งแต่รอบต่ำๆยิ่งทำให้ Gallardo ขับในโค้งได้ง่ายขึ้น set รถเพื่อเร่งออกจากโค้งได้เร็วขึ้นและแน่นอนว่าเร็วกว่า F360 นอกจากนี้ระบบเบรกยังสุดตีน ไม่หวั่นแม้วันมามาก ด้วย Caliper ระดับ 8 pot พร้อมกับจานเบรกด้านหน้าขนาด 365 (ใหญ่กว่าของ Murcielago ที่มีขนาดแค่ 355 เท่านั้น) เรียกว่าเกินตัวและหน้าตาไปมาก ประมาณว่าตัวประถม นมมหาลัย อะไรยังงั้น เบรกที่หัวถิ่มหัวตำ ไม่ต้องห่วงว่าจะเบรกไม่อยู่




แต่ไม่ใช่ว่า Gallardo ไม่มีข้อด้อยเลยนะครับ สิ่งที่ผมพบหลังจากซัดเจ้า Gallardo อยู่พักใหญ่ๆก็คือระบบ E-Gear ของ Gallardo ยังไม่ตอบสนองไวเท่าที่ควรแม้จะอยู่ใน Sport Mode (ที่ทำให้เกียร์เปลี่ยนเร็วขึ้น ช่วงล่างแข็งขึ้น ลดการทำงานของ ESP ลง) อย่างที่ผมบอกไว้ตอนแรกว่ามันทำงาน smooth กว่าเกียร์ F1 ของ Ferrari นอกจากนี้จังหวะเข้าเกียร์หนึ่งยังเร็วกว่าของ Ferrari แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ตอนซัดแล้วต้อง shift-down นี่แหละ ตอนที่เจอโค้งแล้วต้องการ shift down จะต้องดึงแป้นเกียร์ด้านซ้ายเข้าหาตัว พอดึงปุ๊บเกียร์มันไม่ได้สับโพล๊ะจากสี่ไปสามเลยนะสิครับ มันเหมือนกับว่าจาก 4 >> N >> 3 คือมันเหมือนมีระยะฟรีให้รู้สึกได้ แต่ถ้าเป็นเกียร์ F1 ของ Ferrari เวลาอยู่ใน Sport mode shift-down จาก 4ไป 3 เนี่ยมันสับโพล๊ะเลยคือ 4 >> 3 ไม่ใช่ 4 >> N >> 3 เหมือนใน Gallardo (ปัญหาตรงนี้ทาง Lamborghini เค้าบอกไว้ว่า สามารถแก้ไขได้โดย upgrade software เป็น version ปี 2005... แต่รู้สึกว่าต้องส่งรถกลับไป italy นะ...)




ข้อเสียอีกอย่างที่ผมรู้สึกก็คือด้วยความที่เกียร์หนึ่งมันยาวมากขนาดลากได้เกือบๆ 100 นี่แหละ พอเจอโค้งที่แคบๆความเร็วต่ำสัก 80 kph นี่แหละครับ ถึงจะรู้สึกว่าไอ้เจ้ากียร์หนึ่งที่มันลากได้ยาวๆนี่แหละไม่ work เพราะต้องใช้เกียร์ 2 ดันรถออกจากโค้งด้วยรอบต่ำ ทำให้รถดูจะอืดอาดไปนิด ยังดีที่เครื่องมีแรงบิดสูงๆไม่งั้นเซ็งแย่เลย ไม่อยากจะบอกเลยว่านี่คือข้อเสียทั้งหมดที่ผมหาเจอเท่าที่ลองขับแบบเต็มๆ ซึ่งก็ไม่ใช่ข้อเสียที่แย่อะไรนักหนา ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ performance และ handling ที่ยอดเยี่ยม nobody’s perfect ขนาดคนสวยอย่างพอลล่ายังมีข้อเสียเลย โดยเฉพาะเรื่อง handling นี่มีสิบผมให้สิบเอ็ดเลย ขนาดที่ F360 Modena ยังต้องยอมแพ้ แต่ถ้าเทียบกับ F360 CS นั้น ผมว่า F360 CS จะคล่องตัวกว่าเนื่องจากน้ำหนักที่เบากว่า เพราะCS ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขับใน Curcuit มากกว่าจะเอามาใช้บนถนน
At Last



Gallardo เป็นรถที่มีทั้ง performance และ handling ดีกว่า F360 มากๆ ข้อเสียส่วนใหญ่ของรถคันนี้มักจะเป็นข้อเสียเดิมๆที่คุณสามารถพบเห็นได้ใน Lamborghini รุ่นก่อนๆอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นมุมมองทางด้านหลังที่ไม่ค่อยจะเห็นอะไร ถอยจอดแต่ละทีแทบตาย อย่างไรก็ดีต้องขอบคุณ Audi ที่ช่วยลดความงี่เง่าของ Lamborghini เดิมๆลง คุณสามารถเอาเจ้า Gallardo มาขับได้บ่อยมากกว่า Lamborghini ตัวอื่นๆ (ด้วยความที่มันมี E-gear ให้เลือก) แอร์ที่ทำหน้าที่แอร์ได้จริงๆ คือมีความเย็นออกมาให้สัมผัส วิทยุที่มีคุณภาพ พวงมาลัยเบาหวิว ไม่ต้องมีกล้ามก็ขับได้ รวมไปถึงการประกอบที่ดีขึ้น แรงบิดที่มีมากทำให้ขับในเมืองได้ไม่ลำบากทุกอย่างทำให้ Gallardo เป็นรถที่ผมอยากเรียกว่ารถมากกว่าที่จะเรียกว่าของเล่น ที่ซื้อมาเก็บมากกว่าที่จะเอามาใช้
ระบบเบรกสุดยอดมากๆ ทางด้านระบบความปลอดภัยของ Gallardo นี่ไม่ต้องห่วง ขึ้นชื่อว่ารถที่ผลิตโดยคนเยอรมันจะเหลือเหรอครับ ทั้ง Passive แล้วก็ Actvie Safety มีมาให้ยุบยับไปหมด Audi มีอะไร Gallardo ก็มีอย่างนั้นแหละครับ ไม่ว่าจะเป็น ABS, EBD, ESP รวมไปถึง Airbags ทั้งทางด้านหน้าและด้านข้าง เท่านั้นยังไม่พอairbags ยังมีระบบที่สามารถตรวจวัดแรงชนแล้วส่งผลต่อการทำงานของ Airbags ที่จะกางตัวมากหากชนแรง และกางน้อยหากชนเบา (Two Stage Front-Airbags)




เรื่องการ service นั้นแม้ว่า Lamborghini จะไม่มีศูนย์ซ่อมขนาดใหญ่เหมือนกับคู่แข่งอีกสองยี่ห้อ อย่าง Porsche หรือว่า Ferrari แต่ทาง Lamborghini Bangkok ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการนั้น ก็ยืนยันว่าสามารถซ่อมได้ไม่มีปัญหา เนื่องจากได้ส่งช่างไปอบรมทุกๆ 4 เดือน พร้อมทั้งได้ลงทุนเปิด service center ที่เป็นแอร์ทั้งหมดเพื่อลองรับให้บริการลูกค้า Lamborghini โดยเฉพาะ ใครสนใจอยากรู้ว่าศูนย์ service เป็นอย่างไรเราทำ link ไว้ข้างล่างแล้วครับเชิญ click ดูได้ นอกจากนี้ Lamborghini ทุกคันที่ออกจาก Lamborghini Bangkok ยังมี warranty ให้ด้วย เอาเป็นว่าสามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้ระดับหนึ่ง
ส่วนเรื่องอุปกรณ์ modify นั้นหากคุณไม่พอใจกับของเดิมๆที่ Gallardo มีมาจากโรงงาน คุณสามารถที่จะสั่งชุด Sport Package ได้ ซึ่งจะประกอบไปด้วย ช่วงล่างที่แข็งขึ้น (แต่ความสูงของรถยังคงเท่าเดิม เพราะถ้าเตี้ยกว่านี้สงสัยจะขับไม่ได้) Sport Exhaust แล้วก็การตกแต่งภายในที่เป็น Alcantara ทั้งหมด หรือถ้าเกิดหากจะไปซื้อของแต่งข้างนอกก็ย่อมได้ เช่น ระบบระบายไอเสียของ Tubi ซึ่งเท่าที่ได้ฟังเสียงของ Gallardo ที่เปลี่ยนท่อไปใช้ของ Tubi เสียงจะยิ่งแหลมคล้าย Ferrari เข้าไปอีก ซึ่งทำให้แฟนๆ Lamborghini หลายคนไม่ถูกใจเท่าไร อันนี้นานาจิตตังครับ




กับราคาหลังโดนภาษีที่เดิมๆก็โหดอยู่แล้ว ยิ่งปรับใหม่ยิ่งโหดขึ้นไปอีกกับราคาค่าตัวป้วนเปี้ยนแถวๆ 21-22 ล้านขึ้นอยู่กับ option ที่สั่ง คงไม่มีคำว่าคุ้มค่า(อีกแล้ว) ตัวเลือกระดับนี้มีให้เลือกเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็น Ferrari F360 ทั้งตัว Modena และ Spider รวมไปถึง CS (ปัญหาก็คือมันเลิกผลิตแล้วนะสิครับ ถ้าจะซื้อก็จะเป็นรถที่ผลิตออกมาแล้ว stock ไว้ ไม่มีสิทธิจะสั่งการตกแต่งภายในแบบตามใจเจ้าของ) Porsche 911 Turbo ทั้งตัว S และไม่ S ไม่ว่าจะเป็น Coupe หรือ Cabiolet ซึ่งทั้งหมดที่ผมกล่าวมาล้วนถูกกว่า Gallardo ทั้งนั้น นอกจากนี้หากชอบความสะดวกสบายขับง่ายๆยังมีตัวเลือกอย่าง SL55 AMG อีก เอาเป็นว่าแล้วแต่ชอบ แต่ความเห็นส่วนตัวของผมถ้าคุณต้องการรถที่อยู่ตรงกลางระหว่าง Modena ตัวธรรมดากับ CS ผมว่า Gallardo เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่เดียวครับ
โดยส่วนตัวผมว่า Gallardo เป็น Lamborghini ที่ได้รับอิทธิพลจากเยอรมันมาเต็มๆ แม้ว่ามันจะขาดเสน่ห์ของความเป็นรถสปอร์ตจากอิตาลีไปบ้าง (ซึ่งบางคนไม่แคร์) แต่สิ่งที่ Gallardo ได้รับมาก็คือมันมีความเป็นรถมากขึ้น เหมาะที่จะขับมากขึ้น และน่าสนใจมากขึ้น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Ferrari ถึงต้องเอา F430 ออกมาสู้ ส่วน F430 จะดีกว่า หรือเปล่านี่ต้องติดตามชม รับรองว่า Motortoday จะมีคำตอบให้คุณเร็วๆนี้แน่นอน
ขอขอบคุณ คุณ Ronnie Mercardo ที่อำนวยความสะดวกและรูปศูนย์ Service ตรงศรีนครินทร์ครับ
ใครสนใจจะเป็นเจ้าของ Lamborghini ทุกรุ่น รวมถึง supercar อื่นๆเชิญติดต่อไปที่ 02-287-2317-20 ครับ


Article By Narun Lee












Acceleration
0-100 ใน 4.3 วินาที 0-200 ใน แถวๆ 15 วินาทีแถมแรงบิดยังมหาศาล แค่เกียร์หนึ่งเกียร์เดียวก็เกือบๆ 100 แล้ว 10
Top Speed
วิ่งได้ถึง 300 อย่างไม่ลำบาก รถนะไปได้แน่ แต่คนขับกับถนนเมืองไทยนี่สิคือปัจจัยหลัก 10
Handling
ถ้าให้ 11 ได้จะให้ไปแล้ว เป็นรถเครื่องวางกลาง ขับเคลื่อนสี่ล้อที่ขับง่ายที่สุดเท่าที่เคยเห็น อาการ understeer ไม่มีเลย แถมตอนยกคันเร่งในโค้งก็ไม่มี counter อารมณ์เหมือนขับ Lotus Elise ยักษ์ การควบคุมดีกว่า F360 อีก ได้ลองแล้วรับรองว่าจะติดใจ 10
Brake
เบรกดีสุดๆ กดเป็นหยุด จะไม่หยุดได้อย่างไรในเมื่อ เบรกหน้าตั้ง 8 pot แถมจานเบรกหน้ายังใหญ่กว่า Murcielago ซะอีก ไม่อยู่ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว 10
Looks
มันเหมือน Murcielago เอามาย่อส่วนแล้วก็ทำให้มันเหลี่ยมๆ ดูขาดๆเกินๆไปนิด เมื่อเทียบกับรุ่นพี่ของมัน แต่ถ้าเรื่องความหล่อบนท้องถนนไม่ต้องห่วงครับ Chick Magnet สุดๆ เท่าที่ลองขับไป check rating แถวๆ Market Place ทองหล่อนี่ใช้ได้เลยครับ สาวๆมองตาเป็นมัน 9.5
Comfort
แม้จะยังไม่เท่ากับ Porsche แต่เมื่อเทียบกับ Lamborghini ตัวอื่นๆ แล้ว Gallardo ดูจะน่าขับขึ้นอีกเยอะการตกแต่งภายในที่เนี้ยบขึ้น ปราณีตกว่าเดิม ความสะดวกสบายมีมาให้ครบทั้งคัน ไม่ว่าจะเป็นแอร์ที่เป็นแอร์จริงๆ เครื่องเสียงที่ดี รวมไปถึงเบาะปรับไฟฟ้า เข้าไปนั่งนึกว่ารถเก๋งเยอรมัน ว่าแต่ไอ้ console เกียร์นี่ช่วยเอาออกไป ไม่ก็ทำให้มันเล็กลงหน่อยก็ได้ เพราะมันมาบดบังที่นั่งของผู้โดยสารหมด 7
Daily Usage
แม้ว่ามุมมองจะแย่กว่า Ferrari และ Porsche ถอยก็ลำบาก (เหมือนเดิม) รวมถึงรถเตี้ยแป๊กขับไปไหนก็ครูด แต่ก็ได้รับการปรังปรุงให้น่าใช้ขึ้นเยอะ เป็น Lamborghini ที่เหมาะจะนำไปใช้บ่อยๆมากขึ้น (แต่ยังไม่ถึงกับให้ใช้ทุกวัน) กระจกหลังที่มองเห็นได้ (แม้จะไม่ค่อยช่วย แต่ก็ดีกว่าไม่เห็นอะไรเลย) พวงมาลัยที่เบาหวิว ไม่ได้หนักจนนึกว่าตัวเองขับรถเมล์ แล้วก็ที่สำคัญคือไม่ต้องเหยียบ clutch อีกต่อไป มีที่วางของข้างหลังเบาะ ให้พอใส่อะไรได้บ้าง ผมเห็น Lamborghini ทำได้แค่นี้ก็ดีใจแถบแย่แล้วครับ 7
Value
เป็นอีกคันที่ผมยังไม่รู้จะบอกว่ามันคุ้มค่าได้อย่างไร ถ้าจะซื้อก็ถือว่าสนองตัณหาตัวเองละกันครับ ?

ขอขอบคุณบทความจาก www.motortoday.com ครับผม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น