พลันหลังการเปิดตัวและแจ้งราคาอย่างเป็นทางการของ “ฮอนด้า ฟรีด” รถยนต์ในเซกเมนต์ใหม่ของค่ายฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ทำให้เหล่าสาวกของค่ายนี้ต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “แพง” ด้วยเหตุสนนราคาเริ่มต้นของฮอนด้า ฟรีดที่เคาะไว้ 894,500 บาท ส่วนรุ่นท๊อป 1,074,500 บาท
การตั้งราคาดังกล่าวมีที่มาที่ไปจากแผนการตลาดซึ่งทีมงานฮอนด้า เปิดเผยให้กับสื่อมวลชน ก่อนการทดลองขับว่า ช่วงราคาดังกล่าวเป็นจุดที่ว่างอยู่ของรถในเซกเมนท์เอนกประสงค์ (MPV) ที่หากคุณดูราคาแล้วจะไม่พบรถMPVในระดับราคา 8 แสนกว่า-1 ล้านบาท ดังนั้นช่องว่างดังกล่าวจึงเป็นเป้าหมายของ ฮอนด้า ฟรีด ในการเข้ามาทำตลาด
อย่างไรก็ตาม เมื่อหันมาดูที่ตัวรถแล้วผู้บริโภคส่วนใหญ่จะมองว่า ฟรีด มีพื้นฐานเครื่องยนต์และแชสซีส์มาจาก แจ๊สและซิตี้ รวมถึงเครื่องยนต์แค่ 1.5 ลิตร ดังนั้นราคาไม่ควรจะแตกต่างกันมากมาย ซึ่งความเข้าใจดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างไร โดยผู้บริหารระดับสูงของฮอนด้า ตอบคำถามนี้ว่า “อย่าไปมองตรงจุดนั้น ให้มองที่อรรถประโยชน์ของตัวรถประตูสไลด์ไฟฟ้า 2 บาน แบบนี้มีแต่ในรถราคา 2-3 ล้านบาท”
เมื่อผู้บริหารออกปากเช่นนี้เราคงหมดคำถาม แต่ประเด็นดังกล่าววิเคราะห์ได้ไม่ยาก ระหว่างรถที่ ฮอนด้า(ประเทศไทย) ผลิตในเมืองไทย กับรถที่รับมาขายจากอินโดนีเซีย ฮอนด้าเมืองไทย อยากขายรถรุ่นไหนมากกว่ากัน ฉะนั้นการตั้งราคา ฟรีด เพื่อให้แจ๊สหรือซีวิคได้รับผลกระทบน้อยที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด
เรื่องการตั้งราคาขอจบไว้เพียงเท่านี้ กลับมาเข้าเรื่องของการทดลองขับ ฮอนด้า ฟรีด ดีกว่าว่าตัวรถแท้จริงแล้วน่าคบหา หรือเลือกไว้ใช้สักเพียงใด
ฮอนด้า วางแผนให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับฟรีด ไป-กลับ ในเส้นทาง กรุงเทพฯ-หัวหิน โดยจัดรุ่นท๊อปสุดมาให้นั่งกันคันละ 3-4 คน ซึ่งคันของเรามีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 3 ชีวิต ผู้เขียนเลือกนั่งในตำแหน่งผู้โดยสารตอนหน้าก่อนเป็นลำดับแรก ด้วยหวังจะศึกษาระบบนำทาง(Navigator)ว่าเป็นเช่นไร
แต่ก่อนจะขึ้นไปนั่งประจำการ เราขอลองเล่นระบบประตูสไลด์ไฟฟ้า ที่ถือเป็นจุดขายและลูกเล่นโดดเด่นที่สุดของเจ้าฟรีด คันนี้ การเปิดประตูง่าย เพียงดึงมือจับเหมือนเราเปิดรถปกติ แล้วประตูจะสไลด์ เปิดออกเองโดยอัตโนมัติ ส่วนการปิด ก็เพียงดึงมือจับเหมือนเช่นเดิม ประตูจะปิดอัตโนมัติ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการจะโดนหนีบ เพราะมีระบบเซ็นเซอร์ ประตูจะหยุดทันทีเมื่อมีสิ่งกีดขวาง
นอกจากนั้น ยังไม่ต้องกังวลว่า ระหว่างการขับ หากเด็กหรือใครทำเรื่องไม่เข้าท่า ด้วยการคิดจะเปิดประตูบานสไลด์ ขอบอกว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก ฟรีด ก็มีระบบป้องกัน ถ้าดึงเพื่อหวังจะเปิด ประตูจะปลดล็อกสเตปแรกแต่จะไม่เลื่อนออกมา ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะประตูสไลด์จะเปิดได้ระหว่างที่รถกำลังวิ่งอยู่
เมื่อได้ลองจนหนำใจแล้ว เราเข้าไปนั่งในตำแหน่งผู้โดยสารตอนหน้า แล้วมาลองเล่นลูกเล่นอื่นดูบ้าง คอนโซลหน้าดีไซน์สวยสุดยอด โดนใจเราและสื่อมวลชนที่ร่วมเดินทาง ที่สำคัญยังเหมือนกับรุ่น สเตปวากอน(MPVขนาดกลางของฮอนด้า)ที่ค่ายผู้นำเข้าอิสระนำเข้ามาจำหน่ายในราคาคันละกว่า 2 ล้านบาท
คอนโซลหน้า ดีไซน์แบบ 2 ชั้น มีพื้นที่โล่งพอจะวางเน็ตบุ๊คได้สบาย ปุ่มปรับแอร์เป็นแบบอัตโนมัติ คันเกียร์วางอยู่ตรงกลางคอนโซล มีที่วางแก้วอยู่ตรงช่องแอร์ รู้ใจคนใช้รถเมืองไทยที่ชอบเอาแก้วน้ำวางตรงช่องแอร์ หน้าจอระบบนำทางมาพร้อมกับเครื่องเสียงวางอยู่ตำแหน่งตรงกลางบนของคอนโซลให้มุมมองกว้าง แต่คนที่มองจากแถวหลังจะเห็นไม่ค่อยชัดเท่าคนอยู่ด้านหน้า
หลังจากออกเดินทางจากร.ร.สุโขทัย ถ. สาทร เราลองเล่นระบบนำทางพบว่า ใช้ซอฟแวร์ของอีเอสอาร์ไอ ร่วมกับการ์มิน การนำทางดูง่าย แต่การหาสถานที่บันทึกเอาไว้แล้วไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ และเมื่อขับมาถึงจุดพักเปลี่ยนผู้ขับ คราวนี้เราไปประจำการหลังพวงมาลัย
เข้าเกียร์ถอยหลัง เหยียบคันเร่ง เปลี่ยนกลับมาเป็นเกียร์เดินหน้า การตอบสนองของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร i-VTEC SOHC กำลังสูงสุด 118 แรงม้าที่ 6600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 146 แรงม้าที่ 4800 รอบ/นาที จัดว่าตอบสนองสมตัว กำลังดี ไม่อืดหรือไม่แรงจนเกินความเป็นรถแบบครอบครัวไป
เราขับด้วยความเร็วส่วนใหญ่ราว 120-140 กม./ชม. การเก็บเสียงเป็นสิ่งหนึ่งที่เราค่อนข้างประทับใจเสียงลมเริ่มดังรบกวนเมื่อวิ่งเร็วแตะ 140 กม./ชม. ความเร็วสูงสุดทำได้ 160 กม./ชม. แบบค่อยๆ ไหลขึ้นไป ช่วงล่างถือว่านิ่งดี เกาะถนน แต่มีบ้างในบางจังหวะที่เหมือนรถโคลงเล็กน้อยอาจจะมาจากการเป็นรถทรงสูง เมื่อวิ่งเร็วแล้วเจอลมประทะด้านข้างจึงทำให้รู้สึกดังกล่าว
ขับมาสักพักใหญ่ๆ พวงมาลัยดูจะเป็นสิ่งที่ขัดใจเรา รถราคาเป็นล้านแต่พวงมาลัยธรรมดา ไม่มีระบบมัลติฟังก์ชันแถมยังจับไม่กะชับมือ มีอาการลื่นเมื่อเหงื่อออกมือเนื่องจากผิววัสดุ ส่วนทัศนวิสัยกว้างขวางชัดเจนดี เรือนไมล์สีนำเงิน รูปทรงใหม่ดูทันสมัย และจะดูสวยงามมากเมื่อขับเปิดไฟในเวลากลางคืน
สำหรับระบบเบรก น้ำหนักดีไม่มีอาการหัวทิ่ม แต่ขัดใจเล็กน้อยตรงเรื่องของเบรกหลังเป็นดรัมเบรก ดูไม่สมราคารถ ระบบความปลอดภัยมีให้ครบทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า ABS, EBD และ BA
สุดท้ายเราได้ลองนั่งในตำแหน่งผู้โดยสารแถวที่สอง บนเบาะแบบกัปตัน ซีท รู้สึกว่า เป็นจุดที่นั่งสบายที่สุดของรถ เสียงรบกวนน้อยที่สุด ตรงกลางมีที่ว่างพอให้เด็กๆ วิ่งเล่นทะลุจากด้านหน้ารถมาจนถึงเบาะแถวหลังสุดได้อย่างสบายๆ ส่วนผู้ใหญ่สูงระดับ 173 ซม. ก็พอจะขยับเดินแบบเบียดๆได้เช่นกัน
สรุป เราอยู่กับ ฮอนด้า ฟรีด เป็นระยะทางไปกลับร่วม 400 กม. รู้สึกชัดเจนว่า อรรถประโยชน์ครบถ้วนตรงใจคนมีครอบครัว หรือคนที่มักจะเดินทางด้วยจำนวนผู้โดยสาร 4 คนเป็นประจำ ดีไซน์ภายในทันสมัย สมรรถนะสมกับความเป็นรถครอบครัว แต่ขอเวลาและเหตุผลสนับสนุนความคิดอีกสักหน่อยกับการนำเงินระดับ 1 ล้านบาทแลกกับรถเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรที่มีล้อหลังเป็นดรัมเบรค
ขอขอบคุณบทความจาก ผู้จัดการออนไลน์
I'm impressed! I must say that the information is Extremely useful and very engaging. Keep writing. Many many thanks and best of luck for your upcoming blogs. you can see us at honda freed 2017 thailand
ตอบลบ