ตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กหรือ บี-คาร์ เซกเมนท์(B-car) ของเมืองไทยเวลานี้ กำลังอยู่ในช่วงขึ้นหม้อที่สุด เมื่อค่ายรถยนต์ต่างหันมาให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นมาสด้า ฟอร์ด นิสสัน และทาทา ที่ตระเตรียมโปรดักต์มาชิงเค้กก้อนนี้ หลังจากที่มีผู้ครองตลาดหลักอยู่เพียง 2 รายคือ โตโยต้า และฮอนด้า นำทีมโดย วิออส-ยาริส กับ ซิตี้-แจ๊ส ตามลำดับ
และแล้ว มาสด้า กลายเป็นน้องใหม่ของตลาดรถเล็ก ด้วยการปล่อย “มาสด้า 2” โปรดักต์ความหวังสูงสุดของ มาสด้า เซลล์ ประเทศไทย เข้าสู่ตลาดเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยได้รับกระแสตอบรับดีเกินคาดมียอดจองตั้งแต่ลงโชว์รูม(ราว 3-4 วันก่อนเปิดตัว)ถึง 1,100 คัน ทั้งที่ยังไม่เปิดตัว
ขณะที่เป้าหมายใหญ่คือ ยอดขายปีละ 15,000 คัน หรือราว 1,200 คันต่อเดือน ถือว่าไม่มากไม่น้อยเกินไปสำหรับแบรนด์รถมาสด้า ผู้เล่นรายล่าสุดของเซกเมนท์นี้ ส่วนกำลังการผลิตเหลือเฟือเนื่องจาก อย่างที่ทราบกันว่า มาสด้าและฟอร์ด ทุ่มทุนกว่า 17,000 ล้านบาทสร้างโรงงานใหม่เพื่อผลิตรถเล็กโมเดลใหม่ของทั้ง 2 ค่าย โดยมีกำลังผลิตสูงสุดถึง 120,000 คันต่อปี (แบ่งกันค่ายละ 60,000 คัน)
สำหรับ มาสด้า 2 หลังเปิดตัวเพียง 2 วัน ทีมงานมาสด้า ก็จัดทริปทดลองขับ มาสด้า2 ให้กับสื่อมวลชนทั้งของไทยและอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่มาสด้าส่งออกเจ้า 2 จากโรงงานในประเทศไทยเข้าไปจำหน่าย
โดยเลือกเส้นทางทดลองขับกันที่เชียงใหม่ นัยว่าเพื่อให้ได้ลองเข้าโค้ง และการขึ้น-ลงถนนลักษณะภูเขา อันจะแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะของตัวรถอย่างเต็มที่ ซึ่งเรา “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ไม่พลาดร่วมขบวนทดลองขับ โดยถูกให้ประจำการในรุ่นท๊อปออฟไลน์(Maxx)ของมาสด้า 2 แต่ก่อนจะไปถึงบททดลองขับเรามาทำความรู้จักมาสด้า 2 กันสักนิด
ภายนอก มองเหลียวหลัง
มาสด้า 2 โฉมที่เราเห็นนี้คือ รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งเมืองไทยของเราเป็นประเทศแรกในโลกที่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ หลังจากเจ้า 2 ทำตลาดในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกมานานราว 2 ปีกว่า
สิ่งแรกที่เรารู้สึกหลังจากเห็นคันจริงของ มาสด้า 2 คือ มันสวยจริงๆ แต่เรื่องอย่างนี้ถือเป็นนานาจิตตัง ความสวยเป็นความเห็นส่วนบุคคล ไม่มีถูกหรือผิด แล้วแต่ใครจะชอบ ซึ่งนอกจากเราแล้วสื่อมวลชนหลายท่านก็ชอบเช่นกัน รวมถึง คณะกรรมการของหลากหลายประเทศ หลากหลายเวที ที่ต่างมอบรางวัลแด่ มาสด้า 2 รวมแล้วกว่า 50 รางวัลจากทั่วโลกนับตั้งแต่เปิดตัวสู่ตลาด
นอกจากนั้น ระหว่างการขับบนถนนเมืองเชียงใหม่ แทบทุกสายตา จะจับจ้องมองมายัง ขบวนมาสด้า2 ที่เราขับกันอยู่ มองกันชนิดเหลียวหลังหรือถ้าเป็นคนก็คงต้องมีเขินอายกันบ้าง ส่วนหนึ่งมาจากความสดใหม่ และอีกส่วนย่อมมาจากแรงดึงดูดของตัวรถเอง
สำหรับรุ่นท๊อป(Maxx)จะได้ล้อแม็กขอบ 16 นิ้วขณะที่รุ่นล่าง(Groove) ทั้งเกียร์ธรรมดาและออโต้จะได้กะทะล้อขอบ 15 นิ้ว ส่วนรุ่นกลาง(Spirit)จะได้ล้อแม็กขอบ 15 นิ้ว โดยมีลวดลายแตกต่างกัน เรียกว่าแค่ดูแม็กภายนอกก็จำแนกรุ่นย่อยได้แล้ว
ภายใน สปอร์ตพอดีตัว
เมื่อได้เข้าไปนั่ง เบาะค่อนข้างออกแนวสปอร์ต แม้จะเป็นผ้าแต่ฟองน้ำหนาและรู้สึกแข็งกำลังดี ไม่นุ่มยวบ ส่วนอุปกรณ์ มีไม่เยอะและจัดวางอยู่ในตำแหน่งใช้งานง่าย ดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ แป้นเกียร์อยู่ตรงกลางคอนโซลหน้า เพื่อให้มีเนื้อที่ว่างตรงคอนโซลกลาง
สำหรับรุ่นท๊อป พวงมาลัยเป็นมัลติฟังก์ชั่น ควบคุมเครื่องเสียงได้ รวมถึงมีปุ่ม Info ที่แสดงข้อมูลค่าต่างๆ ของการขับขี่ไม่ว่าจะเป็น อัตราการบริโภคน้ำมันทั้งเฉลี่ยและแบบเรียลไทม์, ระยะทางที่จะวิ่งได้ของน้ำมันที่เหลือในถัง, อุณหภูมิภายนอก และความเร็วเฉลี่ย เป็นต้น เรียกว่าครบถ้วนไม่น้อยหน้าคู่แข่ง
ด้านคุณภาพของวัสุดบอกตรงๆ ว่า ส่วนใหญ่ดูดีและสมกับราคาค่าตัว อาจมีบ้างที่พลาสติกบางชิ้นจะไม่ถูกใจใครบางคน ช่องแอร์ดีไซน์เป็นทรงกลม มีประโยชน์ในการใช้งานมาก ปรับทิศทางลมได้ดั่งใจปราถณา ตรงคอนโซลกลางมีช่องสำหรับเสียบเครื่องเล่นเพลง ไอ-พอด ด้วย
เครื่องยนต์ สมคำซูม ซูม
มาสด้า 2 ทุกรุ่นย่อยหัวใจบรรจุเครื่องยนต์เบนซิน MZR แบบ DOHCขนาด 1.5 ลิตรมีระบบเปิด-ปิดวาล์วแปรผันอิเล็กทรอนิกส์แบบ S-VT (Sequential Valve Timing System) และระบบช่วยควบคุมการไหลของไอดี TSCV (Tumble Swirl Control Valve) ให้กำลังสูงสุด 103 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ/นาที
เครื่องยนต์ตัวนี้ ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับยูโร 4 และรองรับเชื้อเพลิงชนิด อี20 ด้านระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด (รุ่นเกียร์ธรรมดาจะเป็น 5 สปีด) ช่วงล่างหน้า อิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็นแบบ กึ่งอิสระทอร์ชั่นบีม พร้อมเทรลลิ่งอาร์ม ระบบเบรก หน้าดิสก์ หลังดรัม
สมรรถนะ นิ่ง หนึบ แน่น
เราเลือกประจำการแรกที่ตำแหน่งผู้โดยสารด้านหน้าเบาะซ้าย ปรับเบาะให้พอดีตัว เหลือพื้นที่ว่างด้านหน้า วางขาพอสบายๆ พอมาสด้า 2 เริ่มเคลื่อนขบวนออกเดินทาง เราจับสังเกตุเรื่องของความนุ่มนวลของช่วงล่างเป็นสิ่งแรก ซึ่งพอบอกได้ว่า นุ่มในแนวสปอร์ต ระดับน่าจะอยู่กึ่งกลางระหว่างยาริสกับแจ๊ส
หลังจากนั้นเราไปนั่งตำแหน่งเบาะหลังด้านซ้าย โดยเบาะหน้ายังคงตำแหน่งเดิมที่เราปรับไว้สำหรับคนสูงขนาด 173 ซม.นั่งสบาย เมื่อเข้านั่งเบาะหลัง ความรู้สึกแรกคือ แคบเหมือนกัน เมื่อนั่งหลังตรงตามแนวเบาะ เข่าชนเบาะหน้า หัวต่ำกว่าหลังคาเหลือช่องว่างเล็กน้อย
ส่วนความรู้สึกระหว่างการนั่งหลังในเวลาขับขี่ ขอใช้คำว่า สบายไม่อึดอัดแต่พอดีเป๊ะ หากต้องนั่งนานๆเกินชั่วโมงคงจะมีเมื่อยแน่ แต่ถ้านั่งแป๊บๆ ไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตามเสียงยางบดถนน(โดยเฉพาะเมื่อวิ่งบนถนนคอนกรีต)ค่อนข้างดังรบกวนตลอดเวลา เนื่องจากซุ้มล้ออยู่ตรงเบาะนั่งหลัง โดยไม่มีวัสดุเช่นยางบังโคลนหลังมาช่วยซับเสียง
สำหรับความนุ่ม อยู่ในเกณฑ์นั่งเคลิ้มหลับได้ ส่วนสิ่งที่เชิดหน้าชูตาและเด่นที่สุดของมาสด้า 2 ก็คือตัวรถรู้สึกนิ่งมาก โดยเฉพาะเวลาเข้าโค้ง อาการท้ายโยนหรือโคลงตัวแทบไม่ค่อยรู้สึก ตลอดระยะทางกว่า 60 กม.ที่ต้องนั่งเป็นผู้โดยสารด้านหลัง จนมาถึงจุดพักเพื่อเปลี่ยนผู้ขับขี่
หลังจากเราได้เข้าประจำการในตำแหน่งผู้ขับแล้ว ปรับเบาะด้วยมือให้พอเหมาะ เป็นอะไรที่พอดีตัวอย่างมาก ความรู้สึกคล้ายคลึงกับการนั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถสปอร์ต ซึ่งจะว่าไปทั้งแจ๊สและยาริส ให้ความรู้สึกที่กว้างกว่า ทั้งนี้สุดแท้แต่ว่า ใครจะชอบแบบไหน
ติดเครื่องยนต์ด้วยการบิดที่ปุ่มสตาร์ท ส่วนกุญแจรีโมทอัจฉริยะ(เข้ารถได้โดยไม่ต้องกดเปิด)วางอยู่ตรงคอนโซลกลาง เหยีบคันเร่งออกตัว แรงกำลังดี ไม่มีอาการรอรอบ พวงมาลัยแบบแรคแอนด์พิเนียนพร้อมพาวเวอร์ไฟฟ้า(EPAS)ให้ความรู้สึกกระชับ และแม่นยำมาก รัศมีวงเลี้ยวแคบเพียง 4.9 เมตร
ช่วงแรกของการขับเราเจอกับเส้นทางโค้งหลากหลาย ทั้งขึ้นเขา ลงเขา หักศอก แต่มาสด้า 2 ทำให้เรามั่นใจได้ทุกโค้ง ด้วยช่วงล่างที่หนึบ ตัวรถนิ่ง พวงมาลัยคม เบรกอยู่น้ำหนักกำลังดี ไม่มีหัวทิ่ม ส่วนการใช้ความเร็วอยู่ราว 60-80 กม./ชม. แล้วแต่จังหวะของรถผู้นำขบวน
อย่างที่กล่าว เราขับกันเป็นขบวน ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีจังหวะเร่งแซงแบบรวดเร็ว แต่เราก็ได้ลองคิกดาวน์อยู่บ้างเมื่อมีโอกาส พบว่า การตอบสนองทันใจดี แม้ไม่แรงเท่าคู่แข่งแต่ก็ให้การขับที่สนุกสนานได้ เสียดายอยู่บ้างตรงเรื่องของ เสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามารบกวนภายในห้องโดยสารเมื่อรอบวิ่งไปแตะระดับ 4000 รอบ/นาที
ทั้งนี้ในระหว่างการขับ รถคันของเราจะมีเรื่องของแอร์เย็นไม่ถึงใจ (คือเย็นแต่ไม่ฉ่ำ แม้จะปรับเย็นสุดแล้วก็ตาม) สร้างความสงสัยว่าเป็นเพราะอะไร มาทราบจากทีมงานมาสด้าว่า ระบบแอร์จะตัดการทำงานเพื่อส่งกำลังมาช่วยเครื่องยนต์ในจังหวะเมื่อผู้ขับกดคันเร่งคิกดาวน์ หรืออาจจะเป็นเพราะสาเหตุอื่นคงต้องตรวจสอบอีกครั้ง
การขับความเร็วคงที่ 100 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์อยู่ประมาณ 2800 รอบ/นาที ส่วนที่ความเร็ว 120 กม./ชม. รอบเครื่องอยู่ระดับ 3300 รอบ/นาที ถือว่าสูงกว่าคู่แข่งในเซกเมนท์เดียวกันพอสมควร เสียงลมประทะกระจกหน้าเริ่มดังรบกวนที่ความเร็วเกิน 110 กม./ชม. ส่วนความเร็วสูงสุดเราขับได้ 120 กม./ชม.(เพราะขับเป็นขบวน) ตัวรถยังนิ่งให้ความรู้สึกเกาะถนนดี
ขณะที่อัตราการบริโภคน้ำมันตามการแสดงผลของคอมพิวเตอร์ในรถกับระยะทางการขับทั้งหมดของผู้เขียน 64..6 กม. ระบุตัวเลข 6.7 ลิตร/ 100 กม. หรือคิดเป็น 14.9 กม./ลิตร ซึ่งตัวเลขดังกล่าว จัดอยู่ในเกณฑ์ไม่น้อยหน้ากับคู่แข่งกับการขับด้วยความเร็วย่าน 60-100 กม./ชม. วิ่งผสมผสานทั้งแบบในเมือง-นอกเมือง
สรุป น้องใหม่ของตลาดรถเล็ก “มาสด้า 2” จากการได้สัมผัสแม้เพียงระยะเวลาไม่นาน เราประทับใจกับช่วงล่างที่นิ่ง หนึบ และแน่น เครื่องยนต์ขับสนุก ภายในให้ความรู้สึกสปอร์ต ภายนอกรูปทรงสวยงาม บวกกับราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งในตลาด ถ้าไม่นับเป็นหนึ่งในตัวเลือกก็ดูจะใจร้ายเกินไป
ขอขอบคุณบทความจาก ผู้จัดการออนไลน์